วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

7 วิธีที่ช่วยลดโลกร้อน ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

1. อัพเกรดชิ้นส่วนอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องของคุณ
เนื่องจากว่าอุปกรณ์ใหม่ ซึ่งนอกจากจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมามากแล้ว ก็มักจะประหยัดพลังงานมากขึ้นตามมาด้วย เช่น ถ้าคุณยังใช้หน้าจอแบบเก่าที่เรียกว่า จอภาพแบบ CR7 ก็ควรจะเปลี่ยนเป็นแบบ LCD หรือ LED เป็นต้น

2. หลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่กินไฟมากเกินความจำเป็น
วิธีนี้สำหรับคนที่มีเครื่องคอมฯเก่านิดนึงนะครับ ซึ่งจะมีอุปกรณ์บางชิ้นที่กินไฟมากเกินควร เช่น การ์ดจอที่เอาไว้สำหรับนักเล่นเกมส์ต่างๆ ก็จะมีประสิทธิภาพสูง แต่มักจะทำให้เกิดความร้องสูงทำให้กินมากขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว
3. ลดความสว่างของหน้าจอคอมฯของคุณ
วิธีนี้สามารถลดการใช้พลังงานของหน้าจอได้บ้างนะครับ แต่ว่าอย่าลดความสว่างมากเกินไป จนคุณต้องใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้สายตาคุณเสียก็ได้ เพราะฉะนั้นควรปรับให้พอดีกับสายตาจะดีกว่านะครับ

4. ปิดอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้งานตามปกติ
ตัวอย่างเช่น ลำโพง พริ๊นเตอร์ สแกนเนอร์ เป็นต้น ซึ่งถ้าเราไม่จำเป็นต้องใช้งานก็ควรจะปิดสวิทช์ของอุปกรณ์ที่ไม่ใช้และถอดปลั๊กอุปกรณ์นั้นๆเสียด้วย ในขณะเดียวกันเมื่อใช้งานเครื่องคอมฯเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ควรปฏิบัติเช่นเดียวกันกับอุปกรณ์อื่นดังที่กล่าวมาข้างต้นด้วยนะครับ

5. ปิดโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ
เช่น โปรแกรมการค้นหาสัญญาณต่างๆ อย่าง Bluetooth ,Wireless ซึ่งถ้าเราไม่ได้ใช้ฟีทเจอร์พวกนี้ก็ควรปิดเสียจะดีกว่านะครับ สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้พอสมควรเลยทีเดียว

6. ใช้โหมดประหยัดพลังงาน
ในคอมพิวเตอร์บางเครื่อง โดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน ส่วนมากจะมีโหมดในการประหยัดพลังงานซึ่งสามารถประหยัดพลังงานและกินไฟของคุณได้น้อยลงจริงๆ

7. ปิดเครื่องคอมฯไปเลย(ถ้าไม่ได้ใช้งานนาน ไม่ควรเปิดทิ้งไว้)
เมื่อเราเลิกใช้งานแล้วก็ควรปิดเครื่องไปเลย หรือไม่ควรเปิดเครื่องทิ้งไว้เป็นเวลานานๆโดยที่คุณไม่ได้ใช้งาน ซึ่งวิธีนี้ก็จะช่วยคุณประหยัดพลังงาน และยังยืดอายุการใช้งานคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆได้นานขึ้นอีกด้วย

ด้วยวิธีง่ายๆดังที่ได้กล่าวมานี้ คุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยโลกของเราให้ดีขึ้น เพื่อให้โลกได้อยู่กับเราได้ต่อไป เพียงแค่ทุกท่านช่วยกันประหยัดงานคนละไม้คนละมือนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี จาก ศูนย์วิทยพัฒนา มสธ. นครนายก

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553



9 เทคนิคการฝึกสมองไบรท์

1. จิบน้ำบ่อยๆ

สมองประกอบด้วยน้ำ 85% เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำมากๆ

2. กินไขมันดี

ใครไม่ค่อยรู้ว่า สมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์(ถ้าไม่ได้ทำตอนเช้า)ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ

สมองใช้ออกซิเจน 20-25 % ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆจึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆอาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %


การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตามไปด้วย


โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ จาก ม.ฮาร์วาร์ด